“คุณแม่คะ ลูกดูใจลอย ไม่ค่อยฟังครู ไม่ตั้งใจเรียนเลยค่ะ…”
“นั่งไม่นิ่ง เปลี่ยนกิจกรรมไปมา เขียนหนังสือแค่แป๊บเดียวก็เบื่อ”

คำพูดจากคุณครูที่ถ่ายทอดมาอย่างห่วงใย อาจทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกใจหาย สะอึก หรือไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงดี
วันนี้หมออยากชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจใหม่ และค่อย ๆ ก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันค่ะ

ฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่รีบด่วนสรุป

สิ่งแรกที่อยากให้พ่อแม่ทำเมื่อได้รับการบอกกล่าวจากครูคือ “เปิดใจฟัง” ค่ะ
เพราะในบางครั้ง คุณครูอาจเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความยากลำบากบางอย่างของลูกที่เราอาจมองไม่เห็นในบ้าน เช่น

  • ไม่จดจ่อกับกิจกรรมในห้อง
  • ลุกเดิน เปลี่ยนท่านั่งบ่อย ๆ
  • ลืมของ ใช้เวลานานกว่าจะเริ่มต้นงาน
  • มองออกนอกหน้าต่าง หรือเหม่อลอยเป็นประจำ

การไม่รีบด่วนตัดสินว่า “ลูกยังเด็กอยู่ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” หรือ “ครูเข้าใจผิด” จะช่วยเปิดทางให้เราเข้าใจลูกได้ลึกซึ้งขึ้นค่ะ

ถาม อย่างไร ให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน

ลองพูดคุยกับคุณครูด้วยคำถามแบบเปิด เช่น

  • คุณครูสังเกตพฤติกรรมนี้มานานหรือยังคะ?
  • เกิดขึ้นทุกวัน หรือแค่บางช่วง?
  • พฤติกรรมแบบนี้เกิดในทุกวิชา หรือเฉพาะบางช่วงเวลา?
  • เวลาเล่นหรือทำกิจกรรมที่ลูกชอบ เขามีสมาธิดีขึ้นไหม?

คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่า ปัญหาเกิดจาก สมาธิของลูก จริง ๆ หรืออาจมาจาก ความเบื่อหน่าย ไม่สนใจ หรือไม่เข้าใจบทเรียน ซึ่งมีแนวทางการดูแลที่ต่างกันค่ะ

พิจารณาพฤติกรรมของลูกนอกห้องเรียน

เด็กบางคนสมาธิดีมากตอนต่อบล็อก เล่นเกม ต่อจิ๊กซอว์ หรือวาดรูป แต่กลับไม่มีสมาธิในห้องเรียน เพราะเนื้อหาไม่น่าสนใจ หรือสื่อการสอนไม่ตอบโจทย์การเรียนรู้ของเขา

แต่ถ้าลูก ไม่มีสมาธิทั้งในบ้านและโรงเรียน พ่อแม่ควรเริ่มสังเกตอย่างละเอียดมากขึ้นค่ะ เช่น:

  • ลูกนั่งทำการบ้านได้นานแค่ไหน
  • ฟังนิทานจบไหม
  • สั่งงานง่าย ๆ แล้วทำตามได้ไหม
  • มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น หรือหงุดหงิดง่ายไหม

เมื่อไหร่ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

หากพฤติกรรมของลูกดูเหมือนส่งผลต่อชีวิตประจำวันทั้งในบ้านและโรงเรียน เช่น

  • สมาธิสั้นจนทำการบ้านไม่ได้
  • ควบคุมอารมณ์ยาก
  • ถูกเพื่อนรำคาญ หรือมีปัญหากับครู

หมอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์เด็ก นักจิตวิทยา หรือนักกิจกรรมบำบัด เพื่อประเมินและวางแผนช่วยเหลือค่ะ

อย่าลืมว่าลูกไม่ได้ตั้งใจมีปัญหา

เด็กที่ไม่มีสมาธิ ไม่ได้หมายความว่าเขา “ดื้อ” หรือ “ขี้เกียจ” แต่หลายครั้ง เขากำลังพยายามอย่างที่สุดแล้วค่ะ เขาอาจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หรือรู้สึกผิดที่ทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น หน้าที่ของเราคือ เข้าใจเขาให้มากกว่าตัดสิน และค่อย ๆ ประคับประคองเขาไปพร้อมกับคุณครูและทีมผู้เชี่ยวชาญ

หมออยากฝากไว้

เมื่อคุณครูบอกว่า “ลูกไม่มีสมาธิ” อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไปนะคะ เพราะการรู้เร็ว เข้าใจเร็ว และช่วยเหลือเร็ว จะทำให้ลูกมีโอกาสได้เรียนรู้ เติบโต และเปล่งประกายได้อย่างเต็มศักยภาพ

“การยอมรับลูกในแบบที่เขาเป็น คือจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังใจที่มั่นคงที่สุดในชีวิตเขาค่ะ”

เขียนโดย พญ.สิริน ปุญญโชติ
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น