“คุณหมอคะ แม่สังเกตว่าลูกนั่งนิ่งไม่ค่อยได้เลยค่ะ ชอบวิ่งไปวิ่งมา ทำอะไรแป๊บเดียวก็เบื่อ แล้วก็ลุกหนี…หนูแอบคิดในใจหลายครั้งว่า ‘หรือว่าลูกของแม่จะสมาธิสั้น?’”

คำถามนี้เป็นคำถามที่หมอมักจะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ในห้องตรวจ

และเป็นคำถามที่พ่อแม่จำนวนมากแอบเก็บไว้ในใจ…ไม่กล้าถามใครตรง ๆ เพราะกลัวว่าจะคิดมากไปเอง

แต่คุณพ่อคุณแม่คะ “ความกังวล” ที่มีอยู่ในใจนั้น สำคัญมากค่ะ เพราะบางครั้ง…มันคือสัญญาณแรกเริ่มที่บอกว่า ลูกเราอาจต้องการความเข้าใจและการช่วยเหลือบางอย่าง

สมาธิสั้นคืออะไร?

สมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) เป็นภาวะที่เด็กมีปัญหาเรื่อง สมาธิสั้น, หุนหันพลันแล่น และ/หรือ อยู่ไม่นิ่ง เกินกว่าที่เหมาะสมกับวัย

เด็กที่เป็นสมาธิสั้นจริงๆ  ไม่ใช่แค่ซน หรือขี้เบื่อธรรมดา แต่จะมีปัญหาเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง จนกระทบกับการเรียน พฤติกรรม และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าสงสัยว่าสมาธิสั้น“?

สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในหลายสถานการณ์ เช่น

  • ฟังไม่จบประโยคก็ลุกหนี
  • ทำของหายบ่อย ลืมง่าย
  • นั่งนิ่งในห้องเรียนไม่ได้
  • พูดแทรกตลอด ไม่รอฟังคนอื่นพูด
  • เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย ไม่จดจ่อ
  • มีปัญหากับเพื่อนหรือครู เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้

ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้น ต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือน และ เริ่มกระทบกับชีวิตประจำวันของลูก นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่เราควรพาลูกมาพบแพทย์ค่ะ

อย่าเพิ่งรีบติด ป้าย ให้ลูก

เด็กบางคนอาจดูซน ไม่มีสมาธิในบางช่วงวัย หรือในบางสถานการณ์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ เช่น หิว เหนื่อย เครียด หรือขาดแรงกระตุ้น แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นสมาธิสั้นค่ะ

การประเมินต้องดูอย่างรอบด้าน ทั้งจากพ่อแม่ ครู การสังเกตพฤติกรรมในบริบทต่าง ๆ รวมถึงใช้แบบประเมินมาตรฐาน

ทำไมต้องรีบรู้ให้เร็ว?

เพราะเด็กที่สมาธิสั้น หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจ

  • พัฒนาไปเป็นปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม
  • มีปัญหาการเรียนสะสมเรื้อรัง
  • เสี่ยงต่อการถูกตำหนิ ตีตรา จนเกิดภาพลบต่อตัวเอง

ในทางกลับกัน เด็กที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จะสามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ได้ดี

คำถามในใจของคุณพ่อคุณแม่ว่า “ลูกของแม่จะสมาธิสั้นไหม?” ไม่ใช่คำถามที่น่ากลัวค่ะ
แต่เป็นคำถามที่แสดงถึงความรัก ความห่วงใย และความกล้าหาญของพ่อแม่ ที่อยากเข้าใจและช่วยเหลือลูกอย่างถูกทาง

หากคุณมีข้อสงสัย…อย่าเก็บไว้คนเดียวลองพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นนะคะ
เพื่อที่เราจะได้ “เข้าใจ” ลูก มากกว่า “ตัดสิน” ลูก และช่วยให้เขาเติบโตอย่างงดงามตามแบบของเขาเองค่ะ

เขียนโดย พญ.สิริน ปุญญโชติ
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น