“หมอคะ ลูกของแม่ซนมากเลยค่ะ นั่งนิ่งไม่ได้เลย วิ่งไปมาไม่หยุด เดี๋ยวเล่น เดี๋ยวหยิบ เดี๋ยวปีน
แม่เริ่มสงสัยว่าลูกจะเป็นสมาธิสั้นหรือเปล่า?”
เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามกันเข้ามาบ่อยมากค่ะ และก็เป็นความกังวลที่เข้าใจได้ เพราะพฤติกรรมของเด็กเล็กในช่วงก่อนวัยเรียนหลายคนก็ดูซน ไม่อยู่นิ่งอยู่แล้ว แล้วแบบไหนล่ะ…ที่เรียกว่า “สมาธิสั้น”?
เด็กซน ≠ สมาธิสั้นเสมอไป
เด็กวัย 2–5 ปี ส่วนมากจะมีช่วงสมาธิสั้นอยู่แล้วค่ะ เพราะสมองส่วนหน้าที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กจะเรียนรู้จากการลงมือทำ การขยับตัว และการเล่นมากกว่าการนั่งนิ่ง ๆ ฟังอยู่เฉย ๆ
ยิ่งเด็กที่มีพลังงานเยอะ ร่างกายแข็งแรง ไม่มีความกังวลหรืออารมณ์ติดค้าง ก็มักจะเล่นได้เต็มที่ ดูเหมือน “ซนไม่รู้จักเหนื่อย” ซึ่งในหลายกรณี หมอจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า “นั่นคือสัญญาณของการมีพัฒนาการทางร่างกายและอารมณ์ที่ดีค่ะ”
แล้วแบบไหนถึงควรสงสัยว่าเป็นสมาธิสั้น?
โรคสมาธิสั้น (ADHD) จะมีลักษณะสำคัญ 3 กลุ่ม คือ:
- ขาดสมาธิ (Inattention)
- ฟังไม่จบ หูไปอย่าง ตาไปอย่าง
- เบื่อง่าย เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย
- ไม่สามารถทำงานตามลำดับหรือเก็บของเป็นที่
- อยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
- นั่งไม่ติด เดิน วิ่ง ปีนตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่ควรนิ่ง
- พูดมาก พูดแทรก ไม่รอฟังให้จบก่อน
- หุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
- พูดหรือทำโดยไม่คิด
- ขัดจังหวะ เล่นรุนแรง
- ทนรอคิวไม่ได้
และสิ่งสำคัญคือ พฤติกรรมเหล่านี้ต้องเกิด “อย่างต่อเนื่อง” และ “กระทบต่อการใช้ชีวิตจริง” ทั้งที่บ้าน โรงเรียน และสังคมรอบตัว เช่น มีปัญหากับการเรียน ครูต้องเรียกคุยบ่อย หรือเล่นกับเพื่อนไม่ได้เพราะเพื่อนรำคาญ
โตขึ้นจะดีขึ้นไหม?
เด็กหลายคนที่ดูซนมากในวัยก่อนเข้าโรงเรียน หากได้รับการเลี้ยงดูที่เข้าใจ มีขอบเขตชัดเจน ได้ฝึกความอดทน ฝึกนั่งนิ่งผ่านกิจกรรมต่าง ๆ สมาธิและความตั้งใจจะค่อย ๆ พัฒนาไปตามวัยค่ะ
แต่หากพบว่าพฤติกรรมยังคงรุนแรงเกินวัย หรือทำให้เด็กและครอบครัวเดือดร้อน ก็ไม่ควรปล่อยไว้ อาจต้องให้แพทย์ช่วยประเมิน
หมออยากฝากถึงคุณพ่อคุณแม่…
อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่า “ลูกสมาธิสั้น” เพราะเห็นเขาซนค่ะ แต่ก็อย่าชะล่าใจหากพฤติกรรมเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตลูก
สิ่งที่ดีที่สุดคือการเข้าใจวัย เข้าใจพัฒนาการ และเปิดใจสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด
หากสงสัยหรือลังเล อย่าลังเลที่จะพาลูกมาพบแพทย์นะคะ การได้รับการประเมินที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้เราช่วยเขาได้ทันเวลา
เพราะการเข้าใจลูก คือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อแม่จะมอบให้ได้ค่ะ
เขียนโดย พญ.สิริน ปุญญโชติ
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น