หนึ่งในคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามหมอบ่อยที่สุดก็คือ
“ถ้าลูกเป็นสมาธิสั้น…รักษาหายไหมคะ?”
“จำเป็นต้องกินยาตลอดไหมคะคุณหมอ?”

คำถามเหล่านี้สะท้อนความห่วงใย ความไม่แน่ใจ และบางครั้งก็ความรู้สึกผิดของพ่อแม่ ที่กังวลว่าลูกอาจเป็น “เด็กพิเศษ” หรือกลัวว่าจะต้องพึ่งยาไปตลอดชีวิต

วันนี้หมออยากชวนมาทำความเข้าใจใหม่ว่า… สมาธิสั้น (ADHD) ไม่ใช่โรคที่น่ากลัว และไม่ใช่คำตัดสินอนาคตของลูกเลยค่ะ

สมาธิสั้นรักษาได้ไหม?

ตอบตรง ๆ คือ… สามารถรักษาได้ค่ะ แม้จะเป็นภาวะที่มาจากความแตกต่างของการทำงานในสมองบางส่วน แต่ สมาธิสั้นสามารถจัดการและพัฒนาให้ดีขึ้นได้มาก หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ

เด็กสมาธิสั้นจำนวนไม่น้อยที่สามารถเรียนได้ดี มีความสามารถเฉพาะตัว และประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามในแบบของเขาเอง

แล้วต้องกินยาหรือเปล่า?

การใช้ยา เป็นเพียงหนึ่งใน “เครื่องมือ” ในการช่วยดูแลเด็กสมาธิสั้นค่ะ ไม่ใช่คำตอบเดียว และไม่ใช่ทางเลือกที่ทุกคนต้องใช้

หมอจะพิจารณาให้ยาในกรณีที่

  • พฤติกรรมรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวันมาก
  • เด็กมีปัญหาการเรียนหรือการเข้าสังคมอย่างชัดเจน
  • การใช้วิธีอื่น ๆ เช่น ปรับพฤติกรรม ฝึกสมาธิ แล้วไม่เห็นผลชัดเจน

ยาที่ใช้รักษาไม่ได้เปลี่ยนตัวตนของลูก
แต่ช่วยให้สมอง “จัดระเบียบ” ความคิดดีขึ้น ทำให้เขาเรียนรู้และควบคุมตัวเองได้ง่ายขึ้น หลายคนไม่จำเป็นต้องใช้ยาไปตลอด และสามารถหยุดได้เมื่อถึงจุดที่พัฒนาทักษะการควบคุมตนเองได้เพียงพอ

แล้วถ้าไม่อยากให้ลูกกินยาเลย ทำยังไงได้บ้าง?

หมอเข้าใจค่ะว่าพ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งในหลายกรณี…ก็เป็นไปได้ค่ะ
สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้ทันที คือ:

  1. ฝึกวินัยอย่างสม่ำเสมอ – กำหนดกิจวัตรที่ชัดเจนในแต่ละวัน
  2. แบ่งงานใหญ่เป็นงานเล็ก – เพื่อให้ลูกมีโอกาส “สำเร็จ” ทีละขั้น
  3. ชมในจังหวะที่เหมาะสม – เด็กสมาธิสั้นต้องการ “กำลังใจ” มากกว่า “คำตำหนิ”
  4. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ – เพราะเขาเรียนรู้ด้วยจังหวะของตัวเอง
  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ – จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น นักจิตวิทยา หรือนักฝึกกิจกรรมบำบัด สามารถช่วยวางแผนร่วมกับพ่อแม่ได้

หมอขอสรุปให้คุณพ่อคุณแม่ว่า

  • สมาธิสั้นไม่ใช่ “โรคร้าย”
  • เด็กสมาธิสั้น “เก่งได้” “สุขได้” และ “มีอนาคตที่ดีได้”
  • ยาไม่ใช่คำตอบเดียว และไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน
  • สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความเข้าใจ” และ “การช่วยเหลือที่เหมาะสม”

หากคุณพ่อคุณแม่ยังลังเลใจ หรือกลัวว่าการพาลูกไปพบแพทย์จะเป็นการ “ตีตรา” ให้ลูก
หมออยากให้ลองมองอีกมุมนะคะ… หากเราพบปัญหาได้เร็ว แก้ไขได้เร็ว อนาคตทั้งชีวิตของเค้าก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราในวันนี้

การเข้าใจลูกอย่างลึกซึ้ง อาจเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่เราจะมอบให้เขาได้ในวันนี้ค่ะ

เขียนโดย พญ.สิริน ปุญญโชติ
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น